อ่านเรื่องราวของจ่าตุ้ย พันเข็ม ใน “๑๗ องศาเหนือ” ก่อนจะต่อด้วยวีรกรรมของย้อย กฤษดาวินิจ ใน “๑๖ องศาเหนือ”
Tag: วินทร์ เลียววาริณ
รีวิวหนังสือ : คดีเจ็ดแพะ & คดีศพล่องหน – นิยายนักสืบจากนักเขียนสองซีไรต์
หลังจากจบเล่มที่ ๑๓ (ตามล่านาซี) ทะลุเป้าที่ตั้งใจเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมก็หยิบ Flash Boys มาตั้งท่าจะอ่าน ตามที่เคยเล่าไว้ว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนึงแนะนำว่า เล่มนี้ดี อ่านเถอะ!! (เล่าไว้ในโพสต์นี้ครับ) เปิดอ่านไปได้สักสิบหน้าเหมือนมันล้ามาจากการอ่านเล่มยาวก็เลยวางไว้ก่อน เปลี่ยนไปหยิบรวมเรื่องสั้นชุดพุ่มรัก พานสิงห์ ของพี่วินทร์ เลียววาริณ ที่เพิ่งสั่งซื้อมาเปิดอ่านก่อนดีกว่า เล่มนี้ชื่อว่า คดีเจ็ดแพะ
เกริ่นกันนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องชุดพุ่มรัก พานสิงห์
พุ่มรัก นี่เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งนะครับ เป็นคนอีสาน เว้าอีสานกันเลยล่ะ แต่แกมีความสามารถพิเศษในด้านการสืบสวนคดีต่าง ๆ ก็เลยถูกตำรวจตามตัวมาช่วยไขคดีโน้นคดีนี้อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่คดีใหญ่จำพวกฆาตกรรม จี้ ปล้น ไปจนถึงคดีอย่างลักเล็กขโมยน้อย จนดูเหมือนจะกลายเป็นงานหลักของแกไปแล้วด้วยซ้ำ จุดเด่นอีกประการของแกที่ต่างจากนักสืบดัง ๆ ของเมืองนอกอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ หรือ ปัวโรต์ ก็คือ พี่แกมีอารมณ์ขันและความกวน (อวัยวะเบื้องล่าง) อย่างล้นเหลือ
สำหรับคดีเจ็ดแพะ นี่เป็นกรณีที่ผู้ช่วยสาวของพุ่มรักถูกจับตัวไป และคนร้ายสั่งให้พุ่มรักไขคดีทั้งหมดเจ็ดคดีด้วยกัน ซึ่งแต่ละคดีจริง ๆ ก็จับตัวผู้ก่อเหตุได้แล้วและศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว แต่คนร้ายมีเหตุที่เชื่อได้ว่า คนที่ถูกลงโทษทั้งเจ็ดคดีที่ว่าเป็น “แพะ” โดยที่คนร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ หน้าที่ของพุ่มรักในครั้งนี้คือการสืบหาตัวคนร้ายที่แท้จริงของทั้งเจ็ดคดี
โดยเมื่อไขคดีได้หนึ่งคดี คนร้ายก็จะส่งข้อมูลสถานที่ที่จับตัวผู้ช่วยของพุ่มรักมาให้ และเมื่อรวมข้อมูลที่ได้จากทั้งเจ็ดคดีแล้วก็จะรู้ได้ว่าผู้ช่วยถูกจับตัวอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าพุ่มรักอยากได้ตัวผู้ช่วยกลับคืนมาก็ต้องไขคดีให้สำเร็จทั้งเจ็ดคดี พลาดไม่ได้เลย
ทั้งเจ็ดคดีในเล่มนี้คือที่ว่าของชื่อ คดีเจ็ดแพะ ซึ่งก็มีตั้งแต่คดีฆาตกรรม คดีฆ่าพระ คดีลักพาตัวเด็ก ฯลฯ ซึ่งแต่ละคดีมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนแตกต่างกัน อ่านไปก็คิดตามไปด้วยแล้วลุ้นตอนท้ายว่า ไอ้ที่เราคิดมันจะใช่มั้ย
หลังจากที่พุ่มรักไขคดีสำเร็จทั้งเจ็ดคดีเป็นที่เรียบร้อย พี่วินทร์ยังมีบทส่งท้ายให้อ่านต่ออีกหนึ่งบท ขอไม่บอกล่วงหน้าว่าเป็นอะไร แต่บอกได้ว่า ต้องอ่านนะครับ
จบจากคดีเจ็ดแพะ ผมหยิบคดีศพล่องหน มาอ่านต่อเลยเพื่อความต่อเนื่อง เล่มนี้เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันทั้งเล่มเหมือนเล่มที่แล้ว แต่เป็นคดีแยกกันไปเจ็ดคดี เปิดมาด้วยคดีที่เป็นชื่อเล่ม คือ คดีศพล่องหน จากนั้นก็เป็นเรื่องอื่น ๆ ทั้งคดีฆาตกรรม ตามหาคนหาย แล้วก็ตามรอยคนเจ้าชู้
สำหรับเล่มนี้ผมคิดว่าเนื้อเรื่องด้อยกว่าเล่มแรกอยู่พอสมควร ระหว่างที่อ่านมีความรู้สึกว่าหลายคดีมันเฉย ๆ อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่า โห!! หรือ เฮ้ย เจ๋งว่ะ!! เหมือนเล่มก่อน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการจะคิดพล็อตเรื่องแนวนักสืบแต่ละเรื่องให้คม ให้หักมุม ให้มันซับซ้อนไปซะทุกเรื่องมันหนักหนาสาหัสอยู่มาก ถือว่าอ่านเพลิน ๆ ได้อยู่นะครับ
คดีเจ็ดแพะ
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๑๙๕ บาท
คดีศพล่องหน
ผู้เขียน : วินทร์ เลียววาริณ
สำนักพิมพ์ : ๑๑๓
ราคา : ๒๑๐ บาท
หมายเหตุ : โพสต์นี้ตั้งใจว่าจะเขียนตั้งแต่ก่อนสิ้นปี นี่ลากยาวมาจนจะสิ้นเดือนมกราคม ไม่มีเหตุอื่นใดเลย นอกจากความขี้เกียจล้วน ๆ เลยครับ
ก่อนหน้าเล่มนี้อ่านอะไรไป…
หนังสือเล่มแรกของปี ๒๕๕๘ : Gone Girl
หนังสือเล่มที่สองของปี ๒๕๕๘ : ระวังหลัง
หนังสือเล่มที่สามของปี ๒๕๕๘ : Offscreen
หนังสือเล่มที่สี่ของปี ๒๕๕๘ : กับดักฆาตกร
หนังสือเล่มที่ห้าของปี ๒๕๕๘ : แกล้ง
หนังสือเล่มที่หกของปี ๒๕๕๘ : ลวง
หนังสือเล่มที่เจ็ดของปี ๒๕๕๘ : สารวัตรเถื่อน
หนังสือเล่มที่แปด & เก้าของปี ๒๕๕๘ : แม่ลาวเลือด
หนังสือเล่มที่สิบของปี ๒๕๕๘ : สาบสูญ
หนังสือเล่มที่ ๑๑ ของปี ๒๕๕๘ : ผู้ยิ่งใหญ่
หนังสือในดวงใจ ๑๐ เล่ม (ตอนที่ ๑)
หมายเหตุ : โพสต์นี้ผมเขียนและโพสต์เอาไว้ในบลอกส่วนตัวตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๗ แต่เอามาโพสต์ซ้ำอีกครั้งที่นี่เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกันครับ
สืบเนื่องจากน้องเมย์ แห่ง Openrice.com ได้แถ่กมาในเรื่อง ๑๐ อันดับหนังสือในดวงใจ หลังจากที่ใช้เวลาพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว (แปลว่า อู้) ก็ได้มาดังรายการต่อไปนี้ครับ
(หมายเหตุ : ไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบ ความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น ชอบเท่ากันหมด)
๑. หนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด
ผมได้อ่านหนังสือฝีมือแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอด มาตั้งแต่ช่วงเรียนมอปลาย อ่านแล้วชอบสไตล์ เรื่องที่พี่เค้าเลือกมาแปลก็ใช่เลย บู๊ ล้างผลาญ เขย่าขวัญ สั่นประสาท อะไรแนวนี้ ตามอ่านได้สักพักมั่นใจว่าใช่แน่ ก็ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกสำนักพิมพ์วรรณวิภาของคุณพี่ เป็นแบบพรีเพด ส่งเงินไปให้ก่อน (นี่มาก่อนบริษัทมือถืออีกนะ ใครว่าวงการหนังสือเชย) เวลาหนังสือเล่มใหม่ออกก็จะส่งมาให้ที่บ้าน ทางสำนักพิมพ์ก็ตัดยอดเงินไป ให้ส่วนลดด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ๓๐%
วิธีนี้คนอ่านกับสำนักพิมพ์ซื้อใจกันขนาดที่ว่า คนอ่านไม่ต้องรู้ว่าเล่มหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ของนักเขียนคนไหน ขอให้เชื่อมือเชื่อรสนิยมคุณสุวิทย์เถอะว่า ไม่มีผิดหวัง ส่วนสำนักพิมพ์ก็แฟร์ว่า ถ้าส่งไปแล้ว ลองอ่านดูแล้วคิดว่าไม่ใช่แนว ก็ส่งมาคืนได้ ไม่คิดเงินด้วย เชื่อใจกันขนาดนั้นเลย
ผมได้อ่านงานของนักเขียนดังๆ หลายคนในสมัยนั้นก็จากการแปลของคุณสุวิทย์และนักแปลคนอื่นในสำนักพิมพ์นี่เอง อย่าง Stephen King (นี่ไม่ต้องแนะนำ) Michael Crichton (นี่ดังมาตั้งนานก่อนจะมาระเบิดระเบ้อกับ Jurassic Park) Tom Clancy (พี่คนนี้ชอบเหลือเกินกับแนว techno thriller รบกันเนี่ย) ผมอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์มาตั้งแต่เรียนมอปลาย เข้ามหา’ลัย จนจบออกมาทำงาน ต่อมาอีกหลายปีจนคิดว่าน่าจะพออ่านงานฉบับภาษาอังกฤษได้แล้วถึงได้เลิกราการอ่านงานแปลของคุณสุวิทย์ไป
ในบรรดาหนังสือแปลของคุณสุวิทย์ ขอเลือกเล่มนี้ เพราะเป็นเล่มแรกๆ ที่ได้อ่าน (ดูสภาพเอาแล้วกันว่านานแค่ไหนแล้ว) และทำให้ซื้ออ่านมาเรื่อยๆ อย่างที่ว่ามาครับ
๒. On Writing โดย Stephen King
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะมีหนังสืออยู่ประเภทนึงที่ผมมักจะซื้อเก็บไว้ ว่างๆ ก็หยิบมาอ่าน ตอนนี้ก็มีหลายเล่มอยู่ ก็คือหนังสือเกี่ยวกับการเขียน โดยเฉพาะถ้าเป็นนักเขียนมาเขียนเองนี่ชอบมาก แต่ในบรรดาทั้งหลายทั้งปวงที่มีชอบเล่มนี้มากที่สุด
ผมได้อ่านงานของ King มานานจากการแปลของคุณสุวิทย์ (ตามที่เล่ามาในข้อ ๑) King เป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญที่ขายดีโคตรๆ (จริงๆ ถ้าใช้สำนวนผม อาจจะหยาบนิดนึงนะ ต้องบอกว่า ขายดีเหี้ยๆ ถ้าเจ๊ J.K. Rowling ไม่ได้พิมพ์ Harry Potter ก็น่าจะยังครองอันดับ ๑ นักเขียนขายดีที่สุดของโลกอยู่) มีนิยายและเรื่องสั้นที่เอาไปทำหนังหลายเรื่อง ที่ติดตาตรึงใจใครหลายๆ คนก็อย่างเช่น Stand By Me หรือ The Shawshank Redemption แต่เล่มนี้ King เขียนเรื่องการเขียนหนังสือบวกกับอัตชีวประวัติตัวเอง จากเด็กที่ชอบเขียนหนังสือจนโตขึ้นมาเป็นนักเขียนที่ดิ้นรนพยายามเลี้ยงชีพตัวเองด้วยงานเขียน จนมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จ
King เขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนเกือบเสียชีวิตและได้เล่าประสบการณ์เฉียดตายวันนั้นเอาไว้ด้วย
เล่มนี้ครั้งแรกผมซื้อเป็นฉบับปกอ่อนมาก่อน แล้วมีวันนึงไปเจอเล่มปกแข็งที่ร้านหนังสือมือสองเจ้าประจำก็เลยซื้อเก็บไว้อีก
๓. พันธุ์หมาบ้า โดย พี่ชาติ กอบจิตติ
แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนไม่อ่านหนังสือแนวเพื่อชีวิต เพื่อสังคม ชีวิตทุกข์ยาก ลำบากลำบน รวมถึงวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง เลยนะครับ จะหยิบอ่านก็ชวนให้หาวเรอเสียทุกครั้งไป ซึ่งพี่ชาติมาแนวนี้ เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่าไม่เคยคิดอ่านงานของพี่เค้าเลย ยิ่งพี่เค้าได้ซีไรต์จาก คำพิพากษา ด้วยนะ ผมยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่แนวกูแน่ๆ
จนกระทั่งพี่เขียนพันธุ์หมาบ้าออกมานี่แหละ ทีแรกก็นึกว่าแนวนั้นแหละ เลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งได้อ่านคำวิจารณ์กับมีคนพูดถึง โดยเฉพาะเรื่อง “กล้วย” และ “เครื่องปอกกล้วย” ก็เลยลองไปพลิกๆ ดูในร้านหนังสือ ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย แม่มใช่เลย เกือบพลาดแล้วกู เล่มนี้ก็เลยเป็นงานเขียนเล่มแรกของพี่ชาติที่ได้อ่าน แล้วต่อมาก็ลามไปเล่มอื่น แม้กระทั่งคำพิพากษาที่ทีแรกไม่เอาเลย สุดท้ายก็กลับมาอ่าน รวมไปถึงงานและบทสัมภาษณ์พี่ชาติหลังจากนั้นด้วย
เรียกได้ว่าพันธุ์หมาบ้าเป็นเล่มที่ทำให้ได้อ่านงานพี่ชาติและติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ จะมีจัดงานเสวนาพบนักเขียนทุกบ่ายวันศุกร์ ครั้งนึงเชิญพี่ชาติมา ผมแว่บออกไปฟังแล้วเอาหนังสือให้พี่เค้าเซ็น เป็นการขอลายเซ็นคนครั้งแรกในชีวิตอ่ะ
(หมายเหตุ : มีเรื่องนึงที่สงสัย เด็กยุคนี้ยังอ่านพันธุ์หมาบ้ากันอยู่มั้ย?)
๔. ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน โดย พี่วินทร์ เลียววาริณ
เล่มนี้ซื้อมาแล้ววางไว้ กว่าจะอ่านก็นานมาก เหตุที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองนะครับ แต่พอเริ่มอ่านแล้วสนุกมาก โคตรทึ่งที่พี่วินทร์เอาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาเป็นแบคกราวน์แล้ววางโครงเรื่องทับซ้อนลงไป แล้วเล่าออกมาได้สนุกขนาดนี้
ตอนที่อ่าน The Da Vinci Code ของ Dan Brown ยังนึกถึงเล่มนี้อยู่เลยว่ามาสไตล์คล้ายกัน เอาประวัติศาสตร์เป็นพื้นหลังแล้วเขียนเติมเข้าไป อาจจะบิดหรือเติมบางอย่างเข้าไปให้เรื่องสนุกขึ้น เล่มนี้เป็นอีกเล่มนึงที่อ่านแล้วหยิบมาอ่านซ้ำ
๕. งู โดย วิมล ไทรนิ่มนวล
คุณวิมลเป็นอีกคนนึงที่ผมจัดอยู่ในกลุ่มนักเขียนวรรณกรรมเข้มข้น จริงจัง แนวเพื่อชีวิต ก็เลยไม่เคยสนใจจะอ่านงานของพี่เค้าเลย โดยเฉพาะงานก่อนหน้าเล่มนี้คือ คนทรงเจ้า ดูคร่าวๆ แล้วไม่ใช่แนวแน่ๆ แต่เล่มนี้ก็มีเหตุบังเอิญไปเจอในร้านหนังสือแล้วปกสะดุดตาเลยหยิบมาพลิกๆ ดู (เป็นบทเรียนว่า ปกหนังสือ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้นะครับ) แล้วเรื่องที่เขียนตรงกับที่ใจคิดพอดี ก็เลยซื้อมาอ่านและชอบมาก สุดท้ายก็กลับไปอ่านคนทรงเจ้าต่อนะ (เหมือนเคสพี่ชาติเลย)
งู เป็นเรื่องที่พูดถึงคนในผ้าเหลืองที่สูบกินจากสังคมรอบข้าง โดยอาศัยความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ (ฟังดูคุ้นๆ มั้ย?) จริงๆ มีประเด็นและสาระอื่นอยู่ด้วยนะ แต่ผมอ่านแล้วมีปัญญาจับมาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ทีแรกว่าจะเขียนให้ครบทั้ง ๑๐ เล่ม แต่นี่แค่ ๕ เล่มแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ที่เหลือขอเอาไว้ต่อโพสต์หน้านะจ๊ะ (แปลว่า อู้อีกแล้ว)